5 ยาทาผิวหนัง ใช้อย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย

เลือกยาทาให้เหมาะกับอาการ รู้ข้อควรระวัง ใช้อย่างปลอดภัย ภายใต้คำแนะนำแพทย์และเภสัชกร

สวัสดีค่า ชาว 911 เพือนๆ หลายๆคนคงประสบปัญหาผิวแห้งคัน ต่างๆ กัน วันนี้จะมาแบ่งปันข้อมูลบางส่วนที่รวบรวมได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อ จะเป็นอย่างไรมาดูกัน …

สารบัญ 

Betamethasone Dipropionate bethasone-cream

Betamethasone Dipropionate

Betamethasone dipropionate เป็นยาสเตียรอยด์สังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการอักเสบของผิวหนัง ยาตัวนี้ทำงานโดยการยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น prostaglandins และ histamine ทำให้ลดอาการแดง บวม คัน และเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ข้อดีคือออกฤทธิ์เร็วและมีประสิทธิภาพสูง แต่ข้อเสียคือหากใช้นานหรือใช้บ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวหนังบาง เส้นโลหิตขอดขึ้น หรือมีผลข้างเคียงจากการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

Salicylic Acid

Salicylic acid เป็นยาที่ช่วยลอกเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่หนาตัวและแข็งออกไป โดยการละลายสารที่เชื่อมเซลล์ผิวหนังเข้าด้วยกัน ทำให้เซลล์ผิวหนังเก่าหลุดลอกออกง่ายขึ้น และช่วยให้ยาอื่นๆ ซึมเข้าไปในผิวหนังได้ดีขึ้น ข้อดีคือช่วยให้ผิวหนังนุ่มขึ้น ลดความหนาของผิวหนัง และเพิ่มประสิทธิภาพของยาตัวอื่น แต่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือแสบได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวหนังบอบบาง

canesten ขายส่งClotrimazole

Clotrimazole เป็นยาต้านเชื้อราในกลุ่ม imidazole derivatives ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อราผิวหนัง โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง ergosterol ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผนังเซลล์เชื้อรา ทำให้เซลล์เยื่อหุ้มเชื้อราไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเกราะกั้นได้ และเกิดการสูญเสียโพแทสเซียมและส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ ของเซลล์ ใช้รักษาโรคน้ำกัดเท้า (tinea pedis) โรคกลาก (tinea corporis, tinea cruris) และโรคเชื้อราแคนดิดา (candidiasis) ข้อดีคือออกฤทธิ์กว้างต่อเชื้อราหลายชนิด ราคาไม่แพง และมีผลข้างเคียงน้อย แต่ข้อเสียคือต้องใช้เป็นเวลานาน โรคน้ำกัดเท้าและกลากลำตัวต้องรักษา 4 สัปดาห์ ส่วนกลากขาหนีบต้องรักษา 2 สัปดาห์ และอาจเกิดการระคายเคืองผิวหนังได้ ทาวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) บริเวณที่เป็นและรอบๆ ที่เป็น

fucidin-fusidic-acid Fusidic Acid

Fusidic Acid

Fusidic acid เป็นยาปฏิชีวนะทาภายนอกที่มีฤทธิ์จำเพาะต่อเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Staphylococci และ Streptococci โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างโปรตีนของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตและตายได้ ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียผิวหนัง เช่น ผิวหนังพองมีน้ำเหลือง (impetigo) ฝี (boils, carbuncles) ผิวหนังอักเสบบริเวณขาหนีบและรักแร้ (erythrasma) สิวอักเสบ และต่อมเหงื่ออักเสบ ข้อดีคือมีประสิทธิภาพสูงต่อเชื้อแบคทีเรียผิวหนัง ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพียงเล็กน้อย และใช้ได้ผลดีกับสิวอักเสบ ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง และอาจเกิดการระคายเคืองผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังแดง คัน หรือผื่นแพ้ยาได้ ทาวันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน มีทั้งรูปแบบครีมและขี้ผึ้ง โดยควรทาบริเวณที่ติดเชื้อและรอบๆ

gsk dermovate cream

Clobetasol Propionate

Clobetasol propionate เป็นยาสเตียรอยด์สังเคราะห์ในกลุ่ม fluorinated corticosteroid ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในกลุ่ม class IV (super potent) ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านการคัน และหดหลอดเลือดฝอยอย่างแรง โดยการกระตุ้นการสร้างโปรตีนยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ใช้รักษาโรคผิวหนังที่ตอบสนองต่อสเตียรอยด์ เช่น โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) ผิวหนังอักเสบรุนแรง ลิเคนไพลานัส ผิวหนังอักเสบแบบ lichen sclerosus และอาการคันรุนแรง ข้อดีคือให้ผลรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงในโรคที่รุนแรง ข้อเสียคือมีผลข้างเคียงมากหากใช้นาน เช่น ผิวหนังบาง ผิวหนังแห้ง เส้นโลหิตขอด ผิวหนังเป็นลาย hypopigmentation และอาจกดการทำงานของ HPA axis ได้ ไม่ควรใช้เกิน 2 สัปดาห์ต่อเนื่อง ไม่ควรใช้บริเวณใบหน้าเกิน 5 วัน และควรหลีกเลี่ยงการใช้บริเวณตา ทาบางๆ วันละ 1-2 ครั้ง

 

Zinc Oxide nappy-hippo

Zinc Oxide

Zinc oxide เป็นยาบรรเทาอาการระคายเคืองผิวหนังที่ออกฤทธิ์เป็น astringent ช่วยปกป้องผิวจากสารก่อความระคายเคืองและความชื้น โดยการสร้างชั้นป้องกันบนผิวหนังและช่วยตกตะกอนโปรตีน ทำให้ผิวหนังยึดติดกันแน่นขึ้น ลดการสูญเสียน้ำ และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ใช้รักษาผื่นผ้าอ้อม ผื่นคัน ลมพิษ แผลไฟไหม้เล็กน้อย ผิวแตก แผลถลอก และเม็ดผดผื่นตามง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อพับ ข้อดีคือปลอดภัยสำหรับทารกและเด็กเล็ก ไม่มีสเตียรอยด์ ใช้ได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลผลข้างเคียง ช่วยให้ผิวหนังแห้งได้ และมีฤทธิ์ในการสมานผิว ข้อเสียคืออาจทำให้เสื้อผ้าเปื้อนและล้างออกยาก บางคนอาจแพ้ได้ และต้องใช้เป็นประจำจึงจะเห็นผล ทาวันละ 3-4 ครั้ง หรือสำหรับผื่นผ้าอ้อมให้ทาทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าอ้อม

ยารวม Betamethasone Dipropionate และ Salicylic Acid

การรวมยาทั้งสองตัวนี้เข้าด้วยกันจะให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในการรักษาโรคผิวหนังที่มีการอักเสบและผิวหนังหนาตัว เช่น โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (chronic atopic dermatitis) โรคผิวหนังอักเสบจากการเกา (neurodermatitis) และโรคผิวหนังอักเสบจากไขมัน (seborrhoeic dermatitis) ข้อดีคือรักษาได้ทั้งอาการอักเสบและความหนาของผิวหนังในขณะเดียวกัน ใช้วันละ 1-2 ครั้ง ทาบางๆ บนผิวหนังที่เป็น แต่ข้อเสียคือมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงมากกว่าการใช้ยาตัวเดียว และไม่ควรใช้นานเกิน 2 สัปดาห์ในผู้ใหญ่ หรือ 5 วันในเด็ก

ยาผสม Betamethasone และ Clotrimazole vitara beta c cream

ยาผสม Betamethasone และ Clotrimazole

ยาผสมระหว่าง betamethasone และ clotrimazole เป็นการรวมกันระหว่างยาสเตียรอยด์และยาต้านเชื้อรา ออกแบบมาเพื่อรักษาโรคผิวหนังที่มีทั้งการอักเสบและการติดเชื้อราพร้อมกัน เช่น ผิวหนังอักเสบที่มีเชื้อราแทรกซ้อน หรือกลากที่มีการอักเสบรุนแรง โดย betamethasone จะช่วยลดอาการอักเสบ แดง คัน ส่วน clotrimazole จะฆ่าเชื้อรา ข้อดีคือสามารถรักษาได้ทั้งสองปัญหาในคราวเดียว ลดระยะเวลาการรักษา และมีประสิทธิภาพสูงในกรณีที่มีอาการรุนแรง ข้อเสียคือมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์ เช่น การใช้ติดต่อกันนานอาจทำให้ผิวหนังบาง ไม่ควรใช้เกิน 2-4 สัปดาห์ และต้องระมัดระวังการใช้ในหญิงตั้งครรรภ์ โดยเฉพาะการใช้ขนาดมากกว่า 300 กรัม อาจส่งผลต่อน้ำหนักของทารกได้ การใช้ยาชนิดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

ข้อควรระวังและคำแนะนำ

ยาทาภายนอกเหล่านี้ต่างมีข้อควรระวังเฉพาะตัว

  • Clotrimazole ไม่ควรใช้ในผู้ที่แพ้ยา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสตา ปาก และเยื่อบุ ต้องใช้ครบตามระยะเวลาที่กำหนดแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
  • Fusidic acid มีข้อห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะภูมิไวเกินต่อตัวยา อาจเกิดผิวหนังระคายเคือง ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังแดง คัน หรือผื่นแพ้ยา
  • Clobetasol เป็นยาสเตียรอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ต้องใช้ระยะสั้นเท่านั้น ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี หญิงตั้งครรรภ์ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรใช้บริเวณที่มีการติดเชื้อ ไม่ควรปิดทับด้วยผ้าพันแผลที่อากาศผ่านไม่ได้ และต้องระวังอย่าให้เข้าตาเพราะอาจทำให้เกิดต้อกระจกและต้อหิน
  • Zinc oxide ปลอดภัยที่สุด แต่ควรระวังอย่าให้เข้าตา และต้องทำความสะอาดบริเวณก่อนทายาทุกครั้ง
  • การเลือกใช้ยาควรเหมาะสมกับอาการ เช่น ใช้ยาต้านเชื้อราสำหรับเชื้อรา ยาปฏิชีวนะสำหรับเชื้อแบคทีเรีย หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-7 วัน หรือมีอาการแย่ลง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที
  • **การใช้ยาเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของเภสัชกรหรือแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเสมอ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยจากการรักษา**

แหล่งที่มา:

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า